#7203
Chintana
Member

โครงการวิจัยที่ดิฉันดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเป็นการวิจัยทางคลินิกซึ่งโดยตำแหน่งงานแล้วดิฉันจะไดีมีบทบาทในส่วนการวางแผนงานเป็นส่วนใหญ่ จะได้ลงชุมชนบ้างแต่ก็นับว่าน้อยมาก การคิดโจทย์วิจัยที่ผ่านมาจะเป็นโจทย์วิจัยที่คิดโดยทีมผู้วิจัยหลักในประเทศสหรัฐอเมริกา ทีมหน่วยวิจัยเราจะมีบทบาทในการดำเนินการวิจัยเท่านั้น ขั้นตอนที่จะได้สื่อสารกับทางผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคือขั้นตอนการสรรหาอาสาสมัครจากโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ต่างๆ ดังนั้น กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลพื็้นฐานเพื่อสร้างรูปแบบการวิจัยสำหรับการวิจัยนั้นยังคงเป็นความท้าทายสำหรับการวิจัยอื่นๆ ในอนาคตค่ะ
ดังนั้น ดิฉันจะขอกล่าวถึงการทำงานกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการในขั้นตอนการสรรหาอาสาสมัครดังนี้ค่ะ
1. ทีมวิจัยระบุผู้ให้ข้อมูลหลักและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
1.1 ระดับชั้นที่ 1 ได้แก่ อาสาสมัคร ผู้ปกครอง สามี และญาติ
1.2 ระดับชั้นที่ 2 ได้แก่ เพื่อน โรงเรียน ผู้ร่วมงานของอาสาสมัคร คณะกรรมการที่ปรึกษาชุมชน (CAB)
1.3 ระดับชั้นที่ 3 ได้แก่ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลชุมชน เจ้าหน้าที่สถานีอนามัย มูลนิธิต่างๆ
1.4 ระดับชั้นที่ 4 ได้แก่ คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย (IRB) คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย (Thai FDA)
1.5 ระดับชั้นที่ 5 ได้แก่ ทีมผู้วิจัยหลักประเทศสหรัฐอเมริกา สถาบันสุขภาพแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (US NIH)

2. ทีมวิจัยกำหนดเจ้าหน้าที่ของสถาบันฯ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมต่างๆ ในการสรรหาอาสาสมัคร
ทีมวิจัยกำหนดทีมพยาบาลที่ทำหน้าที่ในการสรรหาอาสาสมัครซึ่งจะผู้ภายใต้การกำกับดูแลของ ผู้ประสานงาน แพทย์ และหัวหน้าโครงการวิจัย

3. ทีมวิจัยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมต่างๆ
แบบเป็นทางการ
3.1 ก่อนที่ทีมผู้วิจัยหลัก ประทศสหรัฐอเมริกาจะพิจารณาตัดสินให้ทีมวิจัยที่สถาบันฯ ของเราดำเนินโครงการวิจัยใดๆ หรือไม่นั้น เขาจะขอให้ทีมวิจัยส่ง protocol implementation plan ไปเพื่อพิจารณาก่อนซึ่งข้อคำถามหนึ่งใน plan ดังกล่าวจะมีการระบุว่าสถาบันฯ เราคาดการณ์ว่าจะสามารถรับอาสาสมัครได้เดือนละกี่ราย ปีละกี่รายและทั้งโครงการวิจัยรับได้กี่ราย ซึ่งเราต้องทำการสำรวจและประมาณการณ์ตัวเลขให้ใกล้เคียงที่สุดแล้วส่งให้เขาพิจารณาอนุมัติต่อไป หากเราประมาณการณ์ไปแล้วต้องทำให้ได้ใกล้เคียงที่สุดเนื่องจากจะต้องมีการประเมินผลงานทุกปี
3.2 ทีมวิจัยนำเสนอโครงร่างการวิจัย หนังสือยินยอม และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปยัง IRB เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3.3 ทีมวิจัยนำเสนอโครงร่างการวิจัยและหนังสือยินยอมไปยัง CAB เพื่อช่วยพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาในโครงร่างการวิจัยและหนังสือยินยอมสำหรับอาสาสมัคร
3.4 ทีมวิจัยสำรวจข้อมูลผู้ที่มีแนวโน้มเป็นอาสาสมัครโครงการวิจัยต่างๆ ในโรงพยาบาลชุมชนต่างๆ
3.5 ทีมวิจัยทำหนังสือถึงโรงพยาบาลชุมชนต่างๆ เพื่อขอความอนุเคราะห์ส่งต่อผู็ที่มีแนวโน้มเป็นอาสาสมัครมาเข้ารับการตรวจคัดกรอง
3.6 ทีมวิจัยจัดประชุมชี้แจงโครงการวิจัยและขอความร่วมมือส่งต่อผู็ที่มีแนวโน้มเป็นอาสาสมัครมาเข้ารับการตรวจคัดกรอง ณ โรงพยาบาลชุมชนต่างๆ
3.7 ทีมผู็วิจัยประชาสัมพันธ์ดครงการวิจัยทางวารสารคณะกรรมการที่ปรึกษาชุมชน วิทยุ FM 100 CMU
3.8 ทีมวิจัยติดตามสรรหาอาสาสมัครในโรงพยาบาลชุมชนอย่างต่อเนื่อง
3.9 เมื่อได้ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นอาสาสมัครมาเพื่อทำการตรวจคัดกรองแล้ว ก่อนดำเนินการตรวจคัดกรองใดๆ กับอาสาสมัคร ทีมผู้วิจัยจะดำเนินการเล่ารายละเอียดของโครงการวิจัยให้อาสาสมัครฟังและสอบถามความสมัครใจว่าอาสาสมัครยินดีจะเข้าร่วมโครงการวิจัยหรือไม่ หากยินดีจะให้ลงนามในหนังสือยินยอมไว้เป็นหลักฐาน
3.10 ในระหว่างที่อาสาสมัครอยู่ร่วมในโครงการวิจัย หากทีมผู้วิจัยมีข้อมูลใหม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการวิจัยจะแจ้งให้อาสาสมัครทราบและสอบถามความสมัครใจในการอยู่ร่วมในโครงการวิจัยต่อไปหรือไม่ หากยินยอมจะให้ลงนามในหนังสือยินยอมไว้เป็นหลักฐาน
3.11 หากอาสาสมัครได้รับการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยขณะอยู่ร่วมในโครงการวิจัย ทีมผู้วิจัยจะอำนวยความสะดวกในการส่งต่อาอสาสัมครไปรับการดูแลตามสิทธิ แต่หากอาสาสมัครบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากยาหรือกระบวนการวิจัย สถาบันฯ จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาทั้งงหมด
3.12 ระหว่างดำเนินการวิจัย ทีมผู้วิจัยจะดำเนินการเสนอความก้าวหน้า ความปลอดภัยของยา และอื่นๆ ให้กับ IRB, Thai FDA, CAB, US NIH ได้ทราบและ IRB จะต้องอนุมัติให้ดำเนินการวิจัยต่อไปทุกปี
3.13 เมื่อจบโครงการวิจัยทีมผู้วิจัยจะดำเนินการส่งต่ออาสาสมัครกลับไปรับการดูแลอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาลชุมชน
3.14 เมื่อจบโครงการวิจัย ผู้วิจัยแจ้งผลการวิจัยให้อาสาสมัครและผู้ปกครองทราบ
3.15 ผู้วิจัยจะติดต่อกับผู้สนับสนุนโครงการวิจัย และ บริษัทยาที่สนับสนุนยาที่ศึกษาวิจัยหลังจบโครงการและทราบว่ายาที่ศึกษาวิจัยนั้นมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อจะพยายามผลักดันให้ยาที่ศึกษาวิจัย ได้รับการอนุมัติและวางขายในประเทศไทย และเข้าไปอยู่ในบัญชียาหลักของ สปสช. เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วประเทศได้รับการรักษาด้วยยาใหม่ดังกล่าว

แบบไม่เป็นทางการ
3.16 ผู้วิจัยสอบถามความพึงพอใจของอาสาสมัครและผู้ปกครองต่อการมารับบริการในคลินิกวิจัยรวมถึงความประสงค์ที่จะเข้าร่วมโครงการใหม่ๆ ที่จะมีในอนาคต
3.17 ทีมสรรหาอาสาสมัครติดต่อ อาสาสมัคร ญาต เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลชุมชน ทางโทรศัพท์ ไลน์ เฟสบุ๊ค อื่นๆ

4. ทีมวิจัยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียปรึกษาหารือ เพื่อพัฒนาการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

5. ทีมวิจัยจัดทำบันทึกกิจกรรมต่างๆ ไว้เพื่อการตรวจสอบตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนการดำเนินงานจนถึงขั้นตอนการสิ้นสุดกิจกรรมทั้งหมด

6. ผู็สนับสนุนโครงการวิจัยจัดสรรทุนเพียงพอต่อการดำเนินงานต่างๆ

บทเรียนที่ได้จากการทำงานนี้ พบว่าทีมยังมีการมีการดำเนินงานหาข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนที่เป็นเป้าหมายหรือการมีส่วนร่วมของชุมชนค่อนข้างน้อย ยังไม่มีการมีส่วนร่วมจากชุมชนในบริบทอื่นๆ นอกเหนือจากการสรรหาอาสาสมัคร จึงต้องดำเนินการศึกษาเพิ่มเติมและนำองค์ความรู้มาปรับใช้ในการวิจัยของทีมต่อไปค่ะ